ผู้นำคนดัง
ประธานาธิบดี คนที่ 44 บารัค โอบามา
ภาวะความเป็นผู้นำของผู้นำระดับประเทศ ชวนให้นึกถึงคนอย่าง "บารัค โอบาม่า" ผู้แทนจากพรรคเดโมแครตที่จะเป็นผู้เข้าชิงชัยในตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประเทศมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก ถึงแม้จะยังหนุ่ม แต่คำพูดหรือวิสัยทัศน์ของโอบาม่าหลายๆ อย่างน่าสนใจ เปี่ยมด้วยภาวะผู้นำอย่างแท้จริง ผู้นำที่จะใช้พลังของเขาประคับประคองสังคมให้อยู่เย็นเป็นสุขและก้าวหน้าไปโดยสงบสันติ
ถ้าเปรียบประเทศเป็นดินน้ำมันในมือโอบาม่าเขาก็จะค่อยๆ บรรจงปั้นให้เป็นรูปเป็นร่าง มากกว่าจะทุบโครมๆ หรือบิส่วนที่ไม่ต้องการทิ้งอย่างไม่ปรานีปราศรัย
โอบาม่าเป็นคนอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน (เคนยา) เป็นลูกครึ่งผิวสีคนแรกที่ทำลายประวัติศาสตร์อมริกาด้วยการก้าวขึ้นมาถึงขั้นนี้ ในหนังสือ "Dream of My Father" (บารัค โอบามา : ผมลิขิตชีวิตเอง โดยสำนักพิมพ์มติชน) ซึ่งโอบาม่าเขียนเล่าเรื่องราวชีวิตของตัวเองเนื่องจากการทาบทามโดยบรรณาธิกาารไทมส์ บุ๊คส์ เป็นหนังสืออัตชีวประวัติที่น่าสนใจอย่างยิ่งในการแสวงหาตัวตนของลูกครึ่งซึ่ง "ขาวก็ไม่ใช่ ดำก็ไม่เชิง" จนตระหนักถึงความเป็นตัวตนของตัวเอง และฟันฝ่าเข้ามาสู่ถนนสายการเมืองอย่างมีอุดมการณ์ เริ่มจากการเมืองท้องถิ่นในอิลลินอยส์ จนถึงการเมืองระดับประเทศในฐานะวุฒิสมาชิก และก้าวขึ้นสู่การเป็นตัวแทนเดโมแครตเข้าชิงชัยในตำแหน่งประธานาธิบดีอเมริกาในที่สุด บทเรียนชีวิตจากปลายปากกาของโอบาม่าเองน่าเรียนรู้ครับ อาทิตย์หน้าลองเลียบเคียงตามร้านหนังสือดู กลัวซื้อไม่ทันสั่งจองกับร้านไว้ก่อนก็ยังได้
"มีข้อเขียนบางส่วนของโอบาม่าซึ่งสะท้อนภาวะผู้นำอย่างที่ในบ้านเราก็ขาดแคลน อยากให้ลองอ่านดูสักนิด"
"ถึงผมจะเห็นว่านโยบายของพวกเขามุ่งหน้าไปผิดทางแค่ไหน ถึงผมจะยืนกรานหนักแน่นเพียงใดว่าพวกเขาต้องรับผิดชอบในผลที่เกิดจากนโยบายดังกล่าว ผมก็ยังเห็นว่าเรายังพูดคุยกับชายหญิงเหล่านี้ได้ ทำความเข้าใจเรื่องเหตุจูงใจของพวกเขาได้ และรู้ได้ว่าความเชื่อบางอย่างของผมก็เหมือนกับความเชื่อของพวกเขา
"นี่ไม่ใช่ท่าทีที่จะรักษาไว้ได้ง่ายๆ ในกรุงวอชิงตัน เดิมพันในการโต้แย้งเรื่องนโยบายนั้นสูงมากจนกระทั่งความแตกต่างในมุมมองที่เล็กนิดเดียวอาจถูกขยายให้เป็นเรื่องใหญ่โตได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ว่าเราควรส่งคนหนุ่มสาวไปร่วมรบหรือไม่ หรือควรอนุญาตให้การวิจัยสเต็มเซลล์เดินหน้าต่อไปหรือไม่
"การเรียกร้องให้จงรักภักดีต่อพรรค ความจำเป็นที่รีบเร่งของแผนรณรงค์ต่างๆ การที่นักข่าวหมั่นกระพือความขัดแย้ง ทั้งหมดนี้ล้วนแต่ทำให้เกิดบรรยากาศของความหวาดระแวงแคลงใจ ยิ่งไปกว่านั้น คนส่วนใหญ่ที่ทำงานให้วอชิงตันยังถูกฝึกมาให้เป็นนักกฎหมายหรือนักการเมือง ซึ่งเป็นอาชีพที่มักจะให้ความสำคัญกับการเอาชนะการโต้แย้งมากกว่าการแก้ไขปัญหา หลังจากอยู่ในเมืองหลวงมาได้นานพอสมควร ผมก็เข้าใจว่าทำไมมันถึงง่ายที่จะเหมาเอาว่าคนที่ไม่เห็นด้วยกับเราก็คือคน ที่มีค่านิยมแตกต่างไปจากเราแทบทุกด้าน ถูกชักจูงด้วยศรัทธาที่เลวร้าย และอาจจะเป็นคนเลว"
และอีกท่อนหนึ่ง
"เกินกว่าหนึ่งครั้งในประวัติศาสตร์ที่เราได้เห็นความรักชาติกลับ กลายไปเป็นความคลั่งชาติ การเกลียดกลัวชาติอื่น และการเก็บกดความไม่เห็นด้วยเอาไว้ เราได้เห็นศรัทธาเปลี่ยนสภาพไปเป็นการคิดว่าตนเองถูกต้องอยู่ฝ่ายเดียว ความใจแคบ และความโหดร้ายต่อผู้อื่น" (จาก Audacity of Hope โดย บารัค โอบาม่า)
ถ้าเปรียบประเทศเป็นดินน้ำมันในมือโอบาม่าเขาก็จะค่อยๆ บรรจงปั้นให้เป็นรูปเป็นร่าง มากกว่าจะทุบโครมๆ หรือบิส่วนที่ไม่ต้องการทิ้งอย่างไม่ปรานีปราศรัย
โอบาม่าเป็นคนอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน (เคนยา) เป็นลูกครึ่งผิวสีคนแรกที่ทำลายประวัติศาสตร์อมริกาด้วยการก้าวขึ้นมาถึงขั้นนี้ ในหนังสือ "Dream of My Father" (บารัค โอบามา : ผมลิขิตชีวิตเอง โดยสำนักพิมพ์มติชน) ซึ่งโอบาม่าเขียนเล่าเรื่องราวชีวิตของตัวเองเนื่องจากการทาบทามโดยบรรณาธิกาารไทมส์ บุ๊คส์ เป็นหนังสืออัตชีวประวัติที่น่าสนใจอย่างยิ่งในการแสวงหาตัวตนของลูกครึ่งซึ่ง "ขาวก็ไม่ใช่ ดำก็ไม่เชิง" จนตระหนักถึงความเป็นตัวตนของตัวเอง และฟันฝ่าเข้ามาสู่ถนนสายการเมืองอย่างมีอุดมการณ์ เริ่มจากการเมืองท้องถิ่นในอิลลินอยส์ จนถึงการเมืองระดับประเทศในฐานะวุฒิสมาชิก และก้าวขึ้นสู่การเป็นตัวแทนเดโมแครตเข้าชิงชัยในตำแหน่งประธานาธิบดีอเมริกาในที่สุด บทเรียนชีวิตจากปลายปากกาของโอบาม่าเองน่าเรียนรู้ครับ อาทิตย์หน้าลองเลียบเคียงตามร้านหนังสือดู กลัวซื้อไม่ทันสั่งจองกับร้านไว้ก่อนก็ยังได้
"มีข้อเขียนบางส่วนของโอบาม่าซึ่งสะท้อนภาวะผู้นำอย่างที่ในบ้านเราก็ขาดแคลน อยากให้ลองอ่านดูสักนิด"
"ถึงผมจะเห็นว่านโยบายของพวกเขามุ่งหน้าไปผิดทางแค่ไหน ถึงผมจะยืนกรานหนักแน่นเพียงใดว่าพวกเขาต้องรับผิดชอบในผลที่เกิดจากนโยบายดังกล่าว ผมก็ยังเห็นว่าเรายังพูดคุยกับชายหญิงเหล่านี้ได้ ทำความเข้าใจเรื่องเหตุจูงใจของพวกเขาได้ และรู้ได้ว่าความเชื่อบางอย่างของผมก็เหมือนกับความเชื่อของพวกเขา
"นี่ไม่ใช่ท่าทีที่จะรักษาไว้ได้ง่ายๆ ในกรุงวอชิงตัน เดิมพันในการโต้แย้งเรื่องนโยบายนั้นสูงมากจนกระทั่งความแตกต่างในมุมมองที่เล็กนิดเดียวอาจถูกขยายให้เป็นเรื่องใหญ่โตได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ว่าเราควรส่งคนหนุ่มสาวไปร่วมรบหรือไม่ หรือควรอนุญาตให้การวิจัยสเต็มเซลล์เดินหน้าต่อไปหรือไม่
"การเรียกร้องให้จงรักภักดีต่อพรรค ความจำเป็นที่รีบเร่งของแผนรณรงค์ต่างๆ การที่นักข่าวหมั่นกระพือความขัดแย้ง ทั้งหมดนี้ล้วนแต่ทำให้เกิดบรรยากาศของความหวาดระแวงแคลงใจ ยิ่งไปกว่านั้น คนส่วนใหญ่ที่ทำงานให้วอชิงตันยังถูกฝึกมาให้เป็นนักกฎหมายหรือนักการเมือง ซึ่งเป็นอาชีพที่มักจะให้ความสำคัญกับการเอาชนะการโต้แย้งมากกว่าการแก้ไขปัญหา หลังจากอยู่ในเมืองหลวงมาได้นานพอสมควร ผมก็เข้าใจว่าทำไมมันถึงง่ายที่จะเหมาเอาว่าคนที่ไม่เห็นด้วยกับเราก็คือคน ที่มีค่านิยมแตกต่างไปจากเราแทบทุกด้าน ถูกชักจูงด้วยศรัทธาที่เลวร้าย และอาจจะเป็นคนเลว"
และอีกท่อนหนึ่ง
"เกินกว่าหนึ่งครั้งในประวัติศาสตร์ที่เราได้เห็นความรักชาติกลับ กลายไปเป็นความคลั่งชาติ การเกลียดกลัวชาติอื่น และการเก็บกดความไม่เห็นด้วยเอาไว้ เราได้เห็นศรัทธาเปลี่ยนสภาพไปเป็นการคิดว่าตนเองถูกต้องอยู่ฝ่ายเดียว ความใจแคบ และความโหดร้ายต่อผู้อื่น" (จาก Audacity of Hope โดย บารัค โอบาม่า)